พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2413 ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีบิดาชื่อนายคำด้วง แก่นแก้ว มารดาชื่อนางจันทร์ ปู่ของท่านชื่อ เฟี้ยแก่นท้าว มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน ท่านเป็นบุตรชายคนหัวปีท่านพระ อาจารย์มั่นรูปร่างเล็ก ผิดขาวแดง ลักษณะเข้มแข็ง ว่องไว สติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนั้นไม่มีโรงเรียนประชาบาล ใครจะเรียนหนังสือต้องเข้าวัด เป็นลูกศิษย์วัด
สามเณรมั่นพระอาจารย์ได้เข้าอยู่วัดเมื่ออายุได้ 15 ปี และบวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านคำบง เล่าเรียนอักษรไทย อักษรธรรมและอักษรขอมเนื่อง จากท่านมีสติปัญญาเฉลี่ยวฉลาดมาก สนใจใคร่รู้ธรรมะประจำนิสัย ทำให้สามารถเรียนรู้สูตรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ยกย่องชมเชยของครูบาอาจารย์ประกอบกับมีนิสัยความประพฤติ เรียบร้อย ใจคอเยือกเย็น ไม่โกรธใครง่าย ๆ ให้อภัยคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดีงามอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นที่รักใคร่ของหมู่คณะและครูบาอาจารย์เป็นพิเศษบวชเป็น สามเณรอยู่ 2 ปี อายุได้ 17 นายคำด้วงบิดาจึงขอร้องให้สึก เพื่อให้มาช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทำไร่ไถนา เป็นการแบ่งเบาภาระของบิดามารดาของน้อง ๆ ทีแรกพระอาจารย์มั่นจะ ไม่ยอมสึกเพราะมีจิตใจดื่มด่ำรักในพระธรรมวินัยอย่างลึกซื้ง ใคร่รู้ใคร่เห็นธรรมอยากจะเล่าเรียนต่อไป แต่ทนอ้อนวอนของบิดาไม่ไหว จึงจำใจสึกออกมาช่วยทำนาครั้นต่อมาอีก 5 ปี อายุได้ 22 ปี พระอาจารย์มั่นก็ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาสมความตั้งใจ
หนุ่มวัยคะนองในระยะ 5 ปี ระหว่างอายุ 17-22 ก่อนบวชพระนี้ พระอาจารย์มั่นก็เหมือนคนหนุ่มวัยคะนองทั้งหลายนั่นเองเมื่อ ถึงฤดูกาลทำนา ท่านก็ทำนาช่วยบิดามารดาและน้อง ๆ อย่างขยันขันแข็ง เวลาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกับเพื่อนฝูง ท่านก็สมาคมกับเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายลูกชาวบ้านเดียวกัน มีการเล่นหัวกันอย่างสนุกสนานร่าเริงด้วยเกมต่าง ๆ และหัดร้องรำทำเพลงไปตามประสาเมื่อถึงฤดูเทศกาลงานบุญก็เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกรื่นเริงบันเทิงใจตามวิสัยโลกธรรมชาวบ้านท่าน มีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับขับลำนำคำร้องพื้นบ้านอันไพเราะ โดยเฉพาะ "กลอนหมอลำ" ท่านได้ไปขอหนังสือกลอนลำเพลงมาจากครูหมอลำคนหนึ่ง แล้วฝึกหัดลำท่วงทำนองต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแคนท่านก็เป่าเก่งด้วย สมองอันยอดเยี่ยม ความจำรวดเร็วแม่นยำ ปรากฎว่าท่านสามารถลำเพลงพื้นบ้านได้อย่างรวดเร็ว สิ้นตำราจนครูหมอลำอัศจรรย์ใจท่านสามารถลำล่องโขงได้อย่างไพเราะมาก กลอนแอ่วล่องโขงของท่านใครได้ฟังแล้วต้องเคลิบเคลิ้มน้ำตาซึมทีเดียว ลำกลอนเดินดงดั้นป่าชมนกชมได้ในพนาท่านก็ยอดเยี่ยมลำเกี้ยวสาว ลำแก้ ลำกระแตเต้นไม้ท่านก็เก่ง เรียกว่าเป็นหมอลำเพลงแคนสมัครเล่นที่เพื่อนฝูงและชาวบ้านยกย่อง และมักจะขอร้องให้ท่านขับลำทำเพลงให้ฟังเพื่อความสนุกครึกครื้นอยู่เสมอ
หาญสู้แม่เสือสาวมีเรื่องสนุกสนานขำขันอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องขับลำทำเพลงแคนของพระอาจารย์มั่น เรื่องมีอยู่ว่าคราว หนึ่งชาวบ้านได้จัดงานบุญขึ้นใหญ่โต มีคนไปเที่ยวมากมายเป็นพัน ๆ จากหมู่บ้านต่าง ๆ ในลำเนาละแวกถิ่นโขงเจียม ทางเจ้าภาพได้ว่าจ้างหมอลำสาวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งมาลำแคนในงานนี้พระ อาจารย์มั่นตอนนั้นเป็นหนุ่มคึกคะนองยังไม่ได้บวชพระ ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมา กระโดดขึ้นไปบนเวทีหมอลำ ขอลำเพลงประชันกับหญิงสาวผู้นั้นหมอลำสาวยินดีที่จะลำประชันกับท่าน เพื่อนฝูงที่ไปด้วยต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พอได้สติก็พากันคัดค้านห้ามปรามหนุ่มมั่นไม่ให้ลำเพลงประชันกับหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวสวยผู้นั้นลำเก่งมากยิ่งลำกลอนสด ๆ แล้วละก็เป็นต้อนคู่แข่งที่เป็นหมอลำผู้ชายถึงกับจนแต้มต้องกระโดดหนีลงจาก เวทีมาแล้วหลายงาน เพื่อนฝูงกลัวหนุ่มมั่นจะแพ้ห้าแต้มไม่เป็นท่า เพราะเป็นเพียงหมอลำเพลงสมัครเล่น เดี๋ยวจะเป็นที่อับอายขายหน้าชาวบ้านไปเปล่า ๆ ไม่เข้าการแต่ท่านมั่นกลับหัวเราะไม่ฟังเสียงคัดค้านของเพื่อน ๆ ยืนยันจะขับเพลงลำโต้กับหญิงสาวให้ได้ จะโต้กันตลอดรุ่งก็ยังไหวไม่มีกลัวเพื่อน ๆ ก็ล้อว่า เจ้ามั่นหลงรักสาวหมอลำคนสวยเข้าให้แล้ว จะทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อห้ามไม่เชื่อ เพื่อนฝูงก็ปล่อยเลยตามเลยพอเพลงแคนเริ่มต้นขึ้น ท่านหนุ่มมั่นก็ขับลำเพลงอันไพเราะเจื่อยแจ้วอย่างอาจหาญร่าเริ่งเชื่อมั่น ในตัวเอง ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องต้องรับของคนดูดับพัน ๆ อึงคะนึงด้วยความชอบอกชอบใจพอขับลำจบลงก็เป็นฝ่ายของหมอลำสาวคนสวย เสน่ห์แรงลำโต้บ้าง ลำกันไปลำกันมาอย่างสนุกสนานครึกครื้นก็ปรากฎว่า ท่านมั่นลำสู้ฝีปากคารมและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของหญิงสาวไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดยิ่ง ขับลำไปก็ยิ่งเป็นฝ่ายแพ้ ถูกหญิงสาวต้อนเอาแบบตีไม่เลี้ยง เล่นเอาท่านมั่นเหงื่อแตก เพราะหาญขับลำสู้กับมือชั้นครู เป็นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ๆ เอวบางร่างน้อยนึกว่าคงจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้หล่อนก็คือแม่เสือสาวดี ๆ นี่เอง
ภิกษุมั่นต่อ มา เมื่อท่านมั่นอายุได้ 22 ปี ท่านได้สละเพศฆารวาสเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ที่วัดสีทอง โดยมีพระอริยกรี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครู่ประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า "ภูริทัตโต"เมื่อ อุปสมบทแล้วท่านพระภิกษุมั่นได้ไปฝากตัวเรียนวิปัสนากรรมฐานที่สำนักวัด เลียบในเมืองอุบลราชธานี โดยมีท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโลเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนา
นิพพานไม่สูญพระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญนิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่งเป็น แดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ใน แดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิดการ แปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเองนิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลยนิพพาน เป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลายกายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณร่าง ธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้ว ประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไปพระ พุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นใน เรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลก เราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อ เปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหนท่านพระ อาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผลการเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานนี้ ท่านพระภิกษุมั่นได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" เป็นคำบริกรรมภาวนาสมถะกรรมฐาน เพราะท่านชอบคำ "พุทโธ" นี้อย่างกินใจลึกซื้งดื่มด่ำเป็นพิเศษมากกว่าบทธรรมอื่น ๆ และในเวลาต่อมาจวบกระทั่งตลอดชีวิตของท่านก็ได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" นี้ใช้บริกรรมประจำใจในอริยาบทต่าง ๆ ในการเจริญวิปัสสนาทุกครั้งไป เมื่อถือเพศสมณะอย่างเต็มภาคภูมิแล้วท่านก็ตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิงไม่แล เหลียวความคึกคะนองในสมัยเป็นหนุ่มไม่มีหลงเหลืออยู่เลย กลับกลายเป็นคนละคนทีเดียว ท่านเต็มไปด้วยจริยาอันสำรวมเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ไม่มีวอกแวกยึดถือธรรมธุดงควัตรอย่างเหนียวแน่นเอาเป็นเอาตาย ด้วยใจรักอันเด็ดเดี่ยวไม่ให้มีผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว สืบมาตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน จนถึงวาระสุดท้ายเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมธรรมธุดงควัตรที่ท่านยึดถือเป็นข้อปฏิบัติมี 7 ข้อคือ1. ถือ ผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องนุ่งห่ม เมื่อชำรุดเปื่อยขาดไปก็เย็บปะชุนด้วยมือตนเอง ย้อมเองเป็นสีแก่นขนุนหรือสีกรัก ซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ยอมรับคหปติผ้าไตรจีวรสวย ๆ งาม ๆ ที่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายด้วยมืออย่างเด็ดขาด2. ออก บิณฑบาตรทุกวันเป็นประจำ แม้จะป่วยไข้ก็ต้องพยายามพยุงกายออกบิณฑบาตร ยกเว้นเฉพาะวันที่ไม่ขบฉันอาหารเพราะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนากรรมฐานด้วยความ เพลิดเพลินอาจหาญร่าเริงในธรรม ซึ่งมีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านเดินจงกลมและนั่งสมาธิ ภาวนาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ขบฉันอาหารเลย3. ไม่ยอมรับอาหาร ที่ญาติโยมพุทธบริษัทตามส่งทีหลัง รับเฉพาะที่ใส่บาตร4. ฉันมื้อเดียว คือฉันวันละหน ไม่ยอมฉันอาหารว่างใด ๆ ทั้งสิ้น ที่มีอามิสเข้าปะปน5. ฉันอาหารในบาตร คือมีภาชนะใบเดียว ไม่ยอมฉันในสำรับกับข้าวที่มีอาหารต่าง ๆ อาหารคาวหวานทั้งหลายคลุกเคล้าฉันรวมแต่ในบาตร ไม่ติดใจในรสชาตอาหาร ฉันเพียงเพื่อยังสังขารให้พออยู่ได้ เพื่อเพียงจะได้บำเพ็ญเพียรภาวนาสร้างบารมีธรรม6. อยู่ในป่าเป็นวัตร ปฏิบัติคือท่องเที่ยวเจริญสมณะธรรมกรรมฐานอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำ ในเงื้อมผาอันเป็นที่สงัดวิเวกห่างไกลจากชมชน7. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ จีวร และสบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝนซึ่งจำเป็นต้องมีเป็นธรรมดาในสมัยนี้)สำหรับ ธุดงควัตรข้ออื่น ๆ นอกจากที่กล่าวนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นสมาทานและปฏิบัติเป็นบางสมัย แต่เฉพาะ 7 ข้อข้างต้นนี้ท่านปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยากในปัจจุบันท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง ซึ่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เรียกว่าถือสัจจะเป็นบารมี แม้จะเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มุ่งหวังต่อแดนหลุดพ้นพระนิพพานอย่างจริงใจ รู้ซึ้งถึงภัยอันน่ากลัวของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างถึงใจ ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ท่านรู้จริงเห็นจริงว่า การต้องเกิดแล้วตาย...ตายแล้วเกิด... วนเวียนไปมาเป็นวงจักรไม่มีสิ้นสุดนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหามบาปหาบทุกข์เปี่ยมแปล้อยู่นั่นแล้ว ไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งคิดยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งเห็นเป็นเรื่องน่ากลัว น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นพรหม พอหมดจากพรหมก็ลงมาเกิดในนรก จากนรกมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ ดิรัจฉานวนไปเวียนมา อยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับเป็นอสงไขยหรือหลายแสนหลายพันล้าน ๆ ปี เมื่อเกิดแต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องใช้บาปกรรมของภพชาตินั้นอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งทุกข์ทั้งสุขอันไร้แก่นสารสาระน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ จะมีก็แค่ แดนหลุดพ้นคือ พระนิพพานเท่านั้นเป็นแดนสุขเกษมอย่างแท้จริง นิพพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นแดนรอดปลอดจากทุกข์ เป็นแดนของพระวิสุทธิเทพ คือพระอรหันต์ผู้เสวยความสุขที่ยอดเยี่ยมและสูงสง่าเป็นความสุข สำราญทั้งกาย และใจ ที่สุขล้นพ้นเหนือมหาเศรษฐี เหนือพระราชามหากษัตริย์ เหนือเทวดาและพรหมที่พึงได้รับ เมื่อพระอรหันต์ทิ้งร่างมนุษย์ไปแล้ว รูปก็สูญ เวทนาก็สูญ สัญญาสูญ สังขารสูญ วิญญาณสูญแต่จิตยังคงอยู่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากอาสวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นจิตที่มีดวงสุกใสประดุจดาวประกายพรึก จิตดวงนี้จะพุ่งไปสถิตย์อยู่ ณ แดนพระนิพพานเมื่ออยากจะครองร่างสมบัติใด ๆ เช่นกายทิพย์ ก็พร้อมที่จะนฤมิตได้เพื่อเสวยความสุขสุดยอดนานานัปการถ้า ไม่อยากจะเสวยสุขในร่างสมมติหรือธรรมกายจะอยู่เฉย ๆ เหมือนเข้านิโรธสมาบัติ ทรงอยู่แต่จิตสุกใสดวงเดียวก็ได้ เป็นแดนที่ไม่ต้องตายอีกต่อไปไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไปหากมีความทรงตัวอยู่เสวยความสุขอันยอดเยี่ยมที่เทวดาและพรหมทั้งหลายมีความใฝ่ฝันปรารถนาถึงยิ่งนักนิพพานไม่สูญพระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญนิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่งเป็น แดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ใน แดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิดการ แปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเองนิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลยนิพพาน เป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลายกายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณร่าง ธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้ว ประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไปพระ พุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นใน เรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลก เราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อ เปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหนท่านพระ อาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผลลวงตาหรือกายทิพย์เรื่อง นี้มีท่านผู้อ่านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นไปไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายจะยังมี "ร่างทิพย์" เหลืออยู่และเสด็จมาโปรดได้เพราะพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพพานดับ สูญไปกว่าสองพันปีแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเลย พระพุทธองค์จะเสด็จมาได้อย่างไร แม้ว่าจะเสด็จมาในรูปกายทิพย์ก็ตามเถิดนักวิจารณ์ที่เป็นจอมปราชญ์ทางปริยัติก็กล่าวหาว่า ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะได้เห็นภาพลวงตาซึ่งเกิดจากการเข้าสมาธิลึก ๆ เสียมากกว่าอาการ เห็นภาพลวงตาแบบนี้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าเป็นความวิปลาสอย่างหนึ่ง คือความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความผันแปรกลับกลายอันเป็นลักษณะมายาหลอนจิตคำกล่าวหาว่า พระอาจารย์มั่นวิปลาสไปขณะเข้าสมาธิลึก ๆ นี้ เป็นคำกล่าวหาที่อ้างอิงบิดเบือนไม่รู้จริงถึงเรื่องสมาธิตามหลักพระพุทธ ศาสนา หรือาจจะรู้จริงเรื่องหลักสมาธิเหมือนกัน แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติหาก รู้ได้ด้วยการสักแต่ว่าอ่านจากตำราแบบความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เอาตัวเข้าปฏิบัติ การรู้ด้วยวิธีนี้ เป็นการรู้ด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเอา ตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบค้นชอบเดาเอาตามสันดานเป็นความเห็นตามสัญญา หรือความจำได้หมายรู้จากตำรา ไม่ใช่รู้จากการลงมือปฏิบัติด้านสมาธิจิตวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้เป็นการหยั่งรู้ด้วยปัญญาล้วน ๆ ฉะนั้นความเห็นตามสัญญากับความเห็นตามปัญญาผลย่อมจะต่างกันราวฟ้ากับดินพระอาจารย์มั่นเห็นอะไรต่ออะไรได้ด้วยปัญญาของท่าน ไม่ใช่เห็นตามสัญญาความจำได้หมายรู้การ ที่หาญไปวิพากษ์วิจารย์ท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนี้ เป็นการเอาระดับความนึกคิดของตนซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ไปวัดอารมณ์และสติปัญญาของพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิธรรม ขั้นสูงเปรียบไปแล้วก็เหมือนเราเป็นแค่นักเรียนอนุบาลหาญกล้าไป วิพากษ์วิจารณ์ภูมิรู้ในด้านการปฏิบัติของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในห้อง ทดลองวิทยาศาสตร์แน่นอน การวิพากษ์วิจารณ์นั้นย่อยจะไร้เดียงสาผิดพลาดอย่างน่าสงสารตาม ความเป็นจริงนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นมีญาณพิเศษตาทิพย์ หูทิพย์ รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่างทั้งภายในและภายนอก โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิลึก ๆ เลยเพียงแต่ท่านเข้าสมาธิอย่างอ่อน ๆ ระดับอุปจาระสมาธิก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างขวางโดยไม่จำกัดขอบเขตใน บางครั้งบางคราวท่านไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิเลยก็เกิดญาณพิเศษ สามารถรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตาทิพย์หูทิพย์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำน่าอัศจรรย์ญาณพิเศษนี้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจปัญญาอัตโนมัติหมุนทับรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องมีการบังคับบัญชาใด ๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเครื่องเรด้าร์ขนาดใหญ่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งใกล้ และไกลได้ถูกต้องแม่นยำนั่นเองเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระ อรหันตสาวกจำนวนมาก เสด็จมาแสดงความยินดีกับพระอาจารย์มั่นที่ท่านบรรลุอรหันตผลนี้ ท่านได้เล่าให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังว่า
โอวาทตถาคตพระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่น มีใจความว่าเราตถาคตทราบว่า เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนาที่ คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจเกี่ยวกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัว ตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้นธรรมของเราตถาคตก็ เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัญหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไรสิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาลพระพุทธองค์ทรงประทานโอวาท ต่อไปว่า ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะ ได้รับจากธรรมะธรรมะก็อยู่แบบธรรมะ สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้นธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลก ที่เพิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้เท่า ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรี้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัญหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้นตามธรรมดาแล้วกิเลสทุก ประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษประเพณี ของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่านโลก เดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัญหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น
Tags: ประวัติหลวงปู่มั่น
0 comments share
ธรรมะชนะทุกอย่าง
Apr 9, '08 10:07 AMfor everyone
[ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย]
1 comment share
wannas2009
Photos of wannarat
Personal Message
RSS Feed [?]
Report Abuse
');
//-->
window.google_render_ad();
ท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2413 ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีบิดาชื่อนายคำด้วง แก่นแก้ว มารดาชื่อนางจันทร์ ปู่ของท่านชื่อ เฟี้ยแก่นท้าว มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน ท่านเป็นบุตรชายคนหัวปีท่านพระ อาจารย์มั่นรูปร่างเล็ก ผิดขาวแดง ลักษณะเข้มแข็ง ว่องไว สติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนั้นไม่มีโรงเรียนประชาบาล ใครจะเรียนหนังสือต้องเข้าวัด เป็นลูกศิษย์วัด
สามเณรมั่นพระอาจารย์ได้เข้าอยู่วัดเมื่ออายุได้ 15 ปี และบวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านคำบง เล่าเรียนอักษรไทย อักษรธรรมและอักษรขอมเนื่อง จากท่านมีสติปัญญาเฉลี่ยวฉลาดมาก สนใจใคร่รู้ธรรมะประจำนิสัย ทำให้สามารถเรียนรู้สูตรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ยกย่องชมเชยของครูบาอาจารย์ประกอบกับมีนิสัยความประพฤติ เรียบร้อย ใจคอเยือกเย็น ไม่โกรธใครง่าย ๆ ให้อภัยคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดีงามอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นที่รักใคร่ของหมู่คณะและครูบาอาจารย์เป็นพิเศษบวชเป็น สามเณรอยู่ 2 ปี อายุได้ 17 นายคำด้วงบิดาจึงขอร้องให้สึก เพื่อให้มาช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทำไร่ไถนา เป็นการแบ่งเบาภาระของบิดามารดาของน้อง ๆ ทีแรกพระอาจารย์มั่นจะ ไม่ยอมสึกเพราะมีจิตใจดื่มด่ำรักในพระธรรมวินัยอย่างลึกซื้ง ใคร่รู้ใคร่เห็นธรรมอยากจะเล่าเรียนต่อไป แต่ทนอ้อนวอนของบิดาไม่ไหว จึงจำใจสึกออกมาช่วยทำนาครั้นต่อมาอีก 5 ปี อายุได้ 22 ปี พระอาจารย์มั่นก็ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาสมความตั้งใจ
หนุ่มวัยคะนองในระยะ 5 ปี ระหว่างอายุ 17-22 ก่อนบวชพระนี้ พระอาจารย์มั่นก็เหมือนคนหนุ่มวัยคะนองทั้งหลายนั่นเองเมื่อ ถึงฤดูกาลทำนา ท่านก็ทำนาช่วยบิดามารดาและน้อง ๆ อย่างขยันขันแข็ง เวลาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกับเพื่อนฝูง ท่านก็สมาคมกับเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายลูกชาวบ้านเดียวกัน มีการเล่นหัวกันอย่างสนุกสนานร่าเริงด้วยเกมต่าง ๆ และหัดร้องรำทำเพลงไปตามประสาเมื่อถึงฤดูเทศกาลงานบุญก็เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกรื่นเริงบันเทิงใจตามวิสัยโลกธรรมชาวบ้านท่าน มีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับขับลำนำคำร้องพื้นบ้านอันไพเราะ โดยเฉพาะ "กลอนหมอลำ" ท่านได้ไปขอหนังสือกลอนลำเพลงมาจากครูหมอลำคนหนึ่ง แล้วฝึกหัดลำท่วงทำนองต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วแคนท่านก็เป่าเก่งด้วย สมองอันยอดเยี่ยม ความจำรวดเร็วแม่นยำ ปรากฎว่าท่านสามารถลำเพลงพื้นบ้านได้อย่างรวดเร็ว สิ้นตำราจนครูหมอลำอัศจรรย์ใจท่านสามารถลำล่องโขงได้อย่างไพเราะมาก กลอนแอ่วล่องโขงของท่านใครได้ฟังแล้วต้องเคลิบเคลิ้มน้ำตาซึมทีเดียว ลำกลอนเดินดงดั้นป่าชมนกชมได้ในพนาท่านก็ยอดเยี่ยมลำเกี้ยวสาว ลำแก้ ลำกระแตเต้นไม้ท่านก็เก่ง เรียกว่าเป็นหมอลำเพลงแคนสมัครเล่นที่เพื่อนฝูงและชาวบ้านยกย่อง และมักจะขอร้องให้ท่านขับลำทำเพลงให้ฟังเพื่อความสนุกครึกครื้นอยู่เสมอ
หาญสู้แม่เสือสาวมีเรื่องสนุกสนานขำขันอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องขับลำทำเพลงแคนของพระอาจารย์มั่น เรื่องมีอยู่ว่าคราว หนึ่งชาวบ้านได้จัดงานบุญขึ้นใหญ่โต มีคนไปเที่ยวมากมายเป็นพัน ๆ จากหมู่บ้านต่าง ๆ ในลำเนาละแวกถิ่นโขงเจียม ทางเจ้าภาพได้ว่าจ้างหมอลำสาวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งมาลำแคนในงานนี้พระ อาจารย์มั่นตอนนั้นเป็นหนุ่มคึกคะนองยังไม่ได้บวชพระ ท่านเกิดนึกสนุกขึ้นมา กระโดดขึ้นไปบนเวทีหมอลำ ขอลำเพลงประชันกับหญิงสาวผู้นั้นหมอลำสาวยินดีที่จะลำประชันกับท่าน เพื่อนฝูงที่ไปด้วยต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พอได้สติก็พากันคัดค้านห้ามปรามหนุ่มมั่นไม่ให้ลำเพลงประชันกับหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวสวยผู้นั้นลำเก่งมากยิ่งลำกลอนสด ๆ แล้วละก็เป็นต้อนคู่แข่งที่เป็นหมอลำผู้ชายถึงกับจนแต้มต้องกระโดดหนีลงจาก เวทีมาแล้วหลายงาน เพื่อนฝูงกลัวหนุ่มมั่นจะแพ้ห้าแต้มไม่เป็นท่า เพราะเป็นเพียงหมอลำเพลงสมัครเล่น เดี๋ยวจะเป็นที่อับอายขายหน้าชาวบ้านไปเปล่า ๆ ไม่เข้าการแต่ท่านมั่นกลับหัวเราะไม่ฟังเสียงคัดค้านของเพื่อน ๆ ยืนยันจะขับเพลงลำโต้กับหญิงสาวให้ได้ จะโต้กันตลอดรุ่งก็ยังไหวไม่มีกลัวเพื่อน ๆ ก็ล้อว่า เจ้ามั่นหลงรักสาวหมอลำคนสวยเข้าให้แล้ว จะทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อห้ามไม่เชื่อ เพื่อนฝูงก็ปล่อยเลยตามเลยพอเพลงแคนเริ่มต้นขึ้น ท่านหนุ่มมั่นก็ขับลำเพลงอันไพเราะเจื่อยแจ้วอย่างอาจหาญร่าเริ่งเชื่อมั่น ในตัวเอง ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องต้องรับของคนดูดับพัน ๆ อึงคะนึงด้วยความชอบอกชอบใจพอขับลำจบลงก็เป็นฝ่ายของหมอลำสาวคนสวย เสน่ห์แรงลำโต้บ้าง ลำกันไปลำกันมาอย่างสนุกสนานครึกครื้นก็ปรากฎว่า ท่านมั่นลำสู้ฝีปากคารมและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของหญิงสาวไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดยิ่ง ขับลำไปก็ยิ่งเป็นฝ่ายแพ้ ถูกหญิงสาวต้อนเอาแบบตีไม่เลี้ยง เล่นเอาท่านมั่นเหงื่อแตก เพราะหาญขับลำสู้กับมือชั้นครู เป็นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ๆ เอวบางร่างน้อยนึกว่าคงจะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้หล่อนก็คือแม่เสือสาวดี ๆ นี่เอง
ภิกษุมั่นต่อ มา เมื่อท่านมั่นอายุได้ 22 ปี ท่านได้สละเพศฆารวาสเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ที่วัดสีทอง โดยมีพระอริยกรี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครู่ประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า "ภูริทัตโต"เมื่อ อุปสมบทแล้วท่านพระภิกษุมั่นได้ไปฝากตัวเรียนวิปัสนากรรมฐานที่สำนักวัด เลียบในเมืองอุบลราชธานี โดยมีท่านพระอาจารย์เสาร์กนฺตสีโลเป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนา
นิพพานไม่สูญพระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญนิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่งเป็น แดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ใน แดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิดการ แปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเองนิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลยนิพพาน เป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลายกายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณร่าง ธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้ว ประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไปพระ พุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นใน เรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลก เราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อ เปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหนท่านพระ อาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผลการเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐานนี้ ท่านพระภิกษุมั่นได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" เป็นคำบริกรรมภาวนาสมถะกรรมฐาน เพราะท่านชอบคำ "พุทโธ" นี้อย่างกินใจลึกซื้งดื่มด่ำเป็นพิเศษมากกว่าบทธรรมอื่น ๆ และในเวลาต่อมาจวบกระทั่งตลอดชีวิตของท่านก็ได้ยึดเอาคำ "พุทโธ" นี้ใช้บริกรรมประจำใจในอริยาบทต่าง ๆ ในการเจริญวิปัสสนาทุกครั้งไป เมื่อถือเพศสมณะอย่างเต็มภาคภูมิแล้วท่านก็ตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิงไม่แล เหลียวความคึกคะนองในสมัยเป็นหนุ่มไม่มีหลงเหลืออยู่เลย กลับกลายเป็นคนละคนทีเดียว ท่านเต็มไปด้วยจริยาอันสำรวมเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ไม่มีวอกแวกยึดถือธรรมธุดงควัตรอย่างเหนียวแน่นเอาเป็นเอาตาย ด้วยใจรักอันเด็ดเดี่ยวไม่ให้มีผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว สืบมาตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน จนถึงวาระสุดท้ายเข้าสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมธรรมธุดงควัตรที่ท่านยึดถือเป็นข้อปฏิบัติมี 7 ข้อคือ1. ถือ ผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องนุ่งห่ม เมื่อชำรุดเปื่อยขาดไปก็เย็บปะชุนด้วยมือตนเอง ย้อมเองเป็นสีแก่นขนุนหรือสีกรัก ซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ยอมรับคหปติผ้าไตรจีวรสวย ๆ งาม ๆ ที่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายด้วยมืออย่างเด็ดขาด2. ออก บิณฑบาตรทุกวันเป็นประจำ แม้จะป่วยไข้ก็ต้องพยายามพยุงกายออกบิณฑบาตร ยกเว้นเฉพาะวันที่ไม่ขบฉันอาหารเพราะเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนากรรมฐานด้วยความ เพลิดเพลินอาจหาญร่าเริงในธรรม ซึ่งมีอยู่บ่อย ๆ ที่ท่านเดินจงกลมและนั่งสมาธิ ภาวนาติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ขบฉันอาหารเลย3. ไม่ยอมรับอาหาร ที่ญาติโยมพุทธบริษัทตามส่งทีหลัง รับเฉพาะที่ใส่บาตร4. ฉันมื้อเดียว คือฉันวันละหน ไม่ยอมฉันอาหารว่างใด ๆ ทั้งสิ้น ที่มีอามิสเข้าปะปน5. ฉันอาหารในบาตร คือมีภาชนะใบเดียว ไม่ยอมฉันในสำรับกับข้าวที่มีอาหารต่าง ๆ อาหารคาวหวานทั้งหลายคลุกเคล้าฉันรวมแต่ในบาตร ไม่ติดใจในรสชาตอาหาร ฉันเพียงเพื่อยังสังขารให้พออยู่ได้ เพื่อเพียงจะได้บำเพ็ญเพียรภาวนาสร้างบารมีธรรม6. อยู่ในป่าเป็นวัตร ปฏิบัติคือท่องเที่ยวเจริญสมณะธรรมกรรมฐานอยู่ตามร่มไม้บ้าง ในภูเขาบ้าง ในหุบเขาบ้าง ในถ้ำ ในเงื้อมผาอันเป็นที่สงัดวิเวกห่างไกลจากชมชน7. ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมีผ้า 3 ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ จีวร และสบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝนซึ่งจำเป็นต้องมีเป็นธรรมดาในสมัยนี้)สำหรับ ธุดงควัตรข้ออื่น ๆ นอกจากที่กล่าวนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นสมาทานและปฏิบัติเป็นบางสมัย แต่เฉพาะ 7 ข้อข้างต้นนี้ท่านปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยากในปัจจุบันท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง ซึ่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เรียกว่าถือสัจจะเป็นบารมี แม้จะเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มุ่งหวังต่อแดนหลุดพ้นพระนิพพานอย่างจริงใจ รู้ซึ้งถึงภัยอันน่ากลัวของการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างถึงใจ ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ท่านรู้จริงเห็นจริงว่า การต้องเกิดแล้วตาย...ตายแล้วเกิด... วนเวียนไปมาเป็นวงจักรไม่มีสิ้นสุดนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหามบาปหาบทุกข์เปี่ยมแปล้อยู่นั่นแล้ว ไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งคิดยิ่งพิจารณาไปก็ยิ่งเห็นเป็นเรื่องน่ากลัว น่าเบื่อหน่ายเหลือประมาณ ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นพรหม พอหมดจากพรหมก็ลงมาเกิดในนรก จากนรกมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ ดิรัจฉานวนไปเวียนมา อยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับเป็นอสงไขยหรือหลายแสนหลายพันล้าน ๆ ปี เมื่อเกิดแต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องใช้บาปกรรมของภพชาตินั้นอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งทุกข์ทั้งสุขอันไร้แก่นสารสาระน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ จะมีก็แค่ แดนหลุดพ้นคือ พระนิพพานเท่านั้นเป็นแดนสุขเกษมอย่างแท้จริง นิพพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นแดนรอดปลอดจากทุกข์ เป็นแดนของพระวิสุทธิเทพ คือพระอรหันต์ผู้เสวยความสุขที่ยอดเยี่ยมและสูงสง่าเป็นความสุข สำราญทั้งกาย และใจ ที่สุขล้นพ้นเหนือมหาเศรษฐี เหนือพระราชามหากษัตริย์ เหนือเทวดาและพรหมที่พึงได้รับ เมื่อพระอรหันต์ทิ้งร่างมนุษย์ไปแล้ว รูปก็สูญ เวทนาก็สูญ สัญญาสูญ สังขารสูญ วิญญาณสูญแต่จิตยังคงอยู่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากอาสวะกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นจิตที่มีดวงสุกใสประดุจดาวประกายพรึก จิตดวงนี้จะพุ่งไปสถิตย์อยู่ ณ แดนพระนิพพานเมื่ออยากจะครองร่างสมบัติใด ๆ เช่นกายทิพย์ ก็พร้อมที่จะนฤมิตได้เพื่อเสวยความสุขสุดยอดนานานัปการถ้า ไม่อยากจะเสวยสุขในร่างสมมติหรือธรรมกายจะอยู่เฉย ๆ เหมือนเข้านิโรธสมาบัติ ทรงอยู่แต่จิตสุกใสดวงเดียวก็ได้ เป็นแดนที่ไม่ต้องตายอีกต่อไปไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไปหากมีความทรงตัวอยู่เสวยความสุขอันยอดเยี่ยมที่เทวดาและพรหมทั้งหลายมีความใฝ่ฝันปรารถนาถึงยิ่งนักนิพพานไม่สูญพระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญนิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่งเป็น แดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ใน แดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิดการ แปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเองนิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลยนิพพาน เป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลายกายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณร่าง ธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้ว ประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไปพระ พุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นใน เรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลก เราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อ เปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหนท่านพระ อาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผลลวงตาหรือกายทิพย์เรื่อง นี้มีท่านผู้อ่านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นไปไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายจะยังมี "ร่างทิพย์" เหลืออยู่และเสด็จมาโปรดได้เพราะพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพพานดับ สูญไปกว่าสองพันปีแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเลย พระพุทธองค์จะเสด็จมาได้อย่างไร แม้ว่าจะเสด็จมาในรูปกายทิพย์ก็ตามเถิดนักวิจารณ์ที่เป็นจอมปราชญ์ทางปริยัติก็กล่าวหาว่า ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะได้เห็นภาพลวงตาซึ่งเกิดจากการเข้าสมาธิลึก ๆ เสียมากกว่าอาการ เห็นภาพลวงตาแบบนี้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าเป็นความวิปลาสอย่างหนึ่ง คือความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความผันแปรกลับกลายอันเป็นลักษณะมายาหลอนจิตคำกล่าวหาว่า พระอาจารย์มั่นวิปลาสไปขณะเข้าสมาธิลึก ๆ นี้ เป็นคำกล่าวหาที่อ้างอิงบิดเบือนไม่รู้จริงถึงเรื่องสมาธิตามหลักพระพุทธ ศาสนา หรือาจจะรู้จริงเรื่องหลักสมาธิเหมือนกัน แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติหาก รู้ได้ด้วยการสักแต่ว่าอ่านจากตำราแบบความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เอาตัวเข้าปฏิบัติ การรู้ด้วยวิธีนี้ เป็นการรู้ด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเอา ตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบค้นชอบเดาเอาตามสันดานเป็นความเห็นตามสัญญา หรือความจำได้หมายรู้จากตำรา ไม่ใช่รู้จากการลงมือปฏิบัติด้านสมาธิจิตวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้เป็นการหยั่งรู้ด้วยปัญญาล้วน ๆ ฉะนั้นความเห็นตามสัญญากับความเห็นตามปัญญาผลย่อมจะต่างกันราวฟ้ากับดินพระอาจารย์มั่นเห็นอะไรต่ออะไรได้ด้วยปัญญาของท่าน ไม่ใช่เห็นตามสัญญาความจำได้หมายรู้การ ที่หาญไปวิพากษ์วิจารย์ท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนี้ เป็นการเอาระดับความนึกคิดของตนซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ไปวัดอารมณ์และสติปัญญาของพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิธรรม ขั้นสูงเปรียบไปแล้วก็เหมือนเราเป็นแค่นักเรียนอนุบาลหาญกล้าไป วิพากษ์วิจารณ์ภูมิรู้ในด้านการปฏิบัติของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในห้อง ทดลองวิทยาศาสตร์แน่นอน การวิพากษ์วิจารณ์นั้นย่อยจะไร้เดียงสาผิดพลาดอย่างน่าสงสารตาม ความเป็นจริงนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นมีญาณพิเศษตาทิพย์ หูทิพย์ รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่างทั้งภายในและภายนอก โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิลึก ๆ เลยเพียงแต่ท่านเข้าสมาธิอย่างอ่อน ๆ ระดับอุปจาระสมาธิก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างขวางโดยไม่จำกัดขอบเขตใน บางครั้งบางคราวท่านไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิเลยก็เกิดญาณพิเศษ สามารถรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตาทิพย์หูทิพย์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำน่าอัศจรรย์ญาณพิเศษนี้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจปัญญาอัตโนมัติหมุนทับรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องมีการบังคับบัญชาใด ๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเครื่องเรด้าร์ขนาดใหญ่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งใกล้ และไกลได้ถูกต้องแม่นยำนั่นเองเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระ อรหันตสาวกจำนวนมาก เสด็จมาแสดงความยินดีกับพระอาจารย์มั่นที่ท่านบรรลุอรหันตผลนี้ ท่านได้เล่าให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังว่า
โอวาทตถาคตพระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่น มีใจความว่าเราตถาคตทราบว่า เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนาที่ คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจเกี่ยวกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัว ตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้นธรรมของเราตถาคตก็ เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัญหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไรสิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาลพระพุทธองค์ทรงประทานโอวาท ต่อไปว่า ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะ ได้รับจากธรรมะธรรมะก็อยู่แบบธรรมะ สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้นธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลก ที่เพิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้เท่า ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรี้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัญหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้นตามธรรมดาแล้วกิเลสทุก ประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษประเพณี ของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่านโลก เดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัญหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น
Tags: ประวัติหลวงปู่มั่น
0 comments share
ธรรมะชนะทุกอย่าง
Apr 9, '08 10:07 AMfor everyone
[ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย]
1 comment share
wannas2009
Photos of wannarat
Personal Message
RSS Feed [?]
Report Abuse
');
//-->
window.google_render_ad();